นโยบายจัดการ Omni Fund

แนวทางการจัดพอร์ต Omni Fund

กระจายความเสี่ยงทั่วโลก ด้วยหุ้นต่างประเทศและตราสารหนี้ ผ่านกองทุนรวมในไทยที่ Jitta Wealth คัดสรรและจัดพอร์ตให้อย่างเหมาะสม เพื่อผลตอบแทนที่ดีที่สุดตามระดับความเสี่ยงของคุณ


Jitta Ranking Alpha

ความเสี่ยงสูง-สูงมาก

เลือกประเทศให้ และลงทุนหุ้นดีราคาถูก
ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ / จีน / ฮ่องกง / ญี่ปุ่น
20 บริษัท

ลงทุนขั้นต่ำ 2 ล้านบาท
เพิ่มทุนขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท

Jitta Ranking Alpha

ความเสี่ยงสูง-สูงมาก

เลือกประเทศให้ และลงทุนหุ้นดีราคาถูก
ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ / จีน / ฮ่องกง / ญี่ปุ่น
20 บริษัท

ลงทุนขั้นต่ำ 2 ล้านบาท
เพิ่มทุนขั้นต่ำ 5 หมื่นบาท

ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยโอกาส แต่ก็มีความเสี่ยงซึ่งซับซ้อนขึ้นทุกปี การจะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดี เติบโตถึงเป้าหมายระยะยาวได้อย่างมั่นคง แค่จังหวะ หรือคุณภาพสินทรัพย์อาจไม่เพียงพอ 

จำเป็นที่จะต้องอาศัยกลยุทธ์การจัดพอร์ต กระจายความเสี่ยงอย่างมีหลักการควบคู่กันไปด้วยเสมอ 

Jitta Wealth จึงได้ออกแบบนโยบายการลงทุนที่ตอบโจทย์นักลงทุนไทย ทั้งกระจายความเสี่ยง และดูแลง่ายในพอร์ตเดียวโดยลงทุนผ่านกองทุนรวมที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณคุ้นเคยดีอยู่แล้ว

คุณจะได้กระจายการลงทุนทั้งหุ้นต่างประเทศและตราสารหนี้คุณภาพ จัดพอร์ตตามหลัก Modern Portfolio Theory พร้อมดูแลและปรับสมดุลพอร์ตอัตโนมัติ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระดับความเสี่ยงที่คุณเลือกได้เอง ครบ จบ ในพอร์ตเดียว ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปิดบัญชีหรือภาษีต่างประเทศที่ซับซ้อน

หลักการจัดพอร์ตของ Omni Fund

สินทรัพย์เพื่อการลงทุนมีหลายประเภท แต่สินทรัพย์ที่นักลงทุนคุ้นเคยและซื้อขายได้ง่ายที่สุด มีอยู่หลักๆ 4 ประเภท คือ ตราสารทุน (หุ้น) ตราสารหนี้ (พันธบัตร หุ้นกู้) เงินสดหรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด และสินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ)

สิ่งสำคัญคือ สินทรัพย์แต่ละประเภทมี ‘พฤติกรรม’ ไม่เหมือนกัน เวลาที่เศรษฐกิจดี หุ้นอาจพุ่งแรง แต่พอเศรษฐกิจมีปัญหา หุ้นอาจตก ในขณะที่ทองหรือพันธบัตรกลับราคาขึ้นแทน

ซึ่งทฤษฎี Modern Portfolio Theory เสนอให้นักลงทุนไม่ควรใส่เงินทั้งหมดไว้ในสินทรัพย์ประเภทเดียว แต่ควรกระจายไปยัง สินทรัพย์ที่ ‘ความผันผวนของราคาไม่ค่อยสัมพันธ์กัน’ เพราะเมื่อสินทรัพย์บางตัวมูลค่าลดลง ก็จะมีบางตัวที่มูลค่าเพิ่มขึ้นมาชดเชย ทำให้พอร์ตโดยรวมไม่ผันผวนจนเกินไป

แต่การจัดพอร์ตไม่ใช่แค่กระจายไปทุกสินทรัพย์เท่าๆ กัน เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงไม่เท่ากัน ถ้าเน้นตราสารหนี้มากเกินไป พอร์ตจะนิ่งแต่ผลตอบแทนก็อาจต่ำกว่าที่ควรได้ ในทางกลับกันถ้าเน้นหุ้นมากเกินไป ผลตอบแทนอาจสูงขึ้น แต่ความผันผวนก็อาจสูงจนเกินกว่าที่คุณรับไหว

ดังนั้น การลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ค่อยสัมพันธ์กันในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงให้ผลลัพธ์การลงทุนที่ดีที่สุด

ทั้งนี้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดสรรสินทรัพย์เมื่อลงทุนผ่าน Omni Fund เพราะเราได้ออกแบบแผนการลงทุนที่ยืดหยุ่นถึง 3 แบบ แต่ละแบบมีอัตราส่วนสินทรัพย์แตกต่างกันไป เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดในความเสี่ยงที่จำกัดที่สุด สำหรับนักลงทุนทุกเพศ ทุกวัย ทุกเป้าหมายทางการเงิน 

เพียงคุณทำแบบประเมินความเสี่ยงบนแอปพลิเคชัน Jitta Wealth ระบบจะนำข้อมูลของคุณมาประมวลผลเป็นระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ และแนะนำแผนการลงทุนที่เหมาะสมให้ตามเกณฑ์ต่อไปนี้

คุณสามารถลงทุนตามแผนการที่เสี่ยงสูงกว่าระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ ในกรณีที่คุณแสดงความยินยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นขึ้นในขั้นตอนเปิดบัญชีลงทุน

ลักษณะสินทรัพย์ในพอร์ต Omni Fund 

Omni Fund จะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ผ่านกองทุนรวมที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งมีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ดังนี้

ตราสารทุน

หุ้นในตลาดสหรัฐฯ

ผลตอบแทนสูง ผันผวนสูง แต่ระยะยาวสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ

หุ้นในตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่น

เปิดรับโอกาสเติบโตจากตลาดหุ้นพัฒนาแล้วในประเทศชั้นนำอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ

หุ้นในตลาดหุ้นจีน

ผันผวนสูง แต่โอกาสเติบโตก็สูง จากการลงทุนในประเทศที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว

ตราสารหนี้

พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนชั้นดี ทั้งในและต่างประเทศ 

ผันผวนต่ำ ผลตอบแทนไม่สูงมาก

ทั้งนี้ การจัดสรรสินทรัพย์ไม่สามารถกำจัดความเสี่ยงได้ทั้งหมด การลงทุนกับพอร์ต Omni Fund นั้น นอกจากความเสี่ยงจากราคาสินทรัพย์ที่ผันผวนแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากค่าเงินด้วย เพราะ Omni Fund เป็นการลงทุนในกองทุนรวมที่ไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งจะมีการป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนรวมนั้นๆ ที่ Omni Fund เลือกมาลงทุน

วิธีคัดเลือกกองทุนรวม สำหรับสินทรัพย์แต่ละประเภท

กองทุนรวม เป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่นักลงทุนไทยคุ้นเคย แต่การจะเลือกกองใดสักกองเพื่อลงทุนอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกองทุนรวมทั้งหมดในประเทศไทย จากข้อมูลปัจจุบัน ณ เดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 จะมีทั้งหมด 5,712 กองทุน 

Jitta Wealth จึงช่วยคุณลดความยุ่งยากด้วยการคัดเลือกกองทุนรวมที่ดีที่สุด สำหรับสินทรัพย์แต่ละประเภทที่จะนำมาจัดพอร์ต Omni Fund ตามเกณฑ์ที่ประเมินแล้วว่ามีประสิทธิภาพดีที่สุดดังนี้

  1. คัดเลือกกองทุนรวมตามประเภทสินทรัพย์ ซึ่งจะต้องไม่ใช่ประเภทกองลดหย่อนภาษี หรือกองจ่ายปันผล
  2. พิจารณากองที่มีมูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรก และการซื้อครั้งต่อไปน้อยกว่า 500 บาท
  3. คัดเลือกกองทุนรวมที่ดีที่สุด จากการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง ความเสี่ยง และค่าธรรมเนียม 

โดยขั้นตอนดังกล่าวจะมีการพิจารณาทบทวน ความเหมาะสมของกองทุนรวมที่จะลงทุนตามรอบระยะเวลาที่เหมาะสมอยู่เสมอ

จากเกณฑ์การคัดเลือกดังกล่าว เราจะได้กองทุนรวมที่คุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ มาจัดพอร์ตให้คุณ ดังนี้

กองทุนรวมตราสารทุน

K-US500X-A(A) – โดย บลจ. กสิกรไทย

กองทุนรวมหุ้นสหรัฐฯ

ลงทุนใน iShares Core S&P 500 ETF อ้างอิงผลตอบแทนตามดัชนี S&P 500

K-EUX – โดย บลจ. กสิกรไทย

กองทุนรวมหุ้นยุโรป 

ลงทุนใน iShares EURO STOXX 50 UCITS ETF (DE) อ้างอิงผลตอบแทนตามดัชนี EURO STOXX 50

K-JPX-A(A) – โดย บลจ. กสิกรไทย

กองทุนรวมหุ้นญี่ปุ่น

ลงทุนใน NEXT FUNDS TOPIX Exchange Traded Fund อ้างอิงผลตอบแทนตามดัชนี TOPIX

ES-CHEQ – บลจ. อีสท์สปริง

กองทุนรวมหุ้นจีน

ลงทุนใน iShares FTSE China A50 ETF อ้างอิงผลตอบแทนตามดัชนี FTSE China A50 

กองทุนรวมตราสารหนี้

K-PLAN1 – โดย บลจ. กสิกรไทย

กองทุนรวมตราสารหนี้

ลงทุนในเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชนชั้นดี ทั้งในและต่างประเทศ 

ES-CASH – โดย บลจ. อีสท์สปริง
กองทุนรวมตลาดเงินทั่วไป

ลงทุนในเงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง และตั๋วสัญญาใช้เงิน ในประเทศไทย

วิธีจัดสัดส่วนกองทุนรวมตามแผนการลงทุน

การจัดสัดส่วนของกองทุนรวม จะใช้แนวคิดตาม Modern Portfolio Theory ไม่ว่าจะเป็นแผนพอเพียง สมดุล หรือเติบโต ในพอร์ตจะประกอบไปด้วยสินทรัพย์ 2 ประเภท ที่ไม่ค่อยสัมพันธ์กัน ได้แก่หุ้น และตราสารหนี้ ทำให้ความผันผวนของพอร์ตโดยรวมลดลง แต่ยังรักษาผลตอบแทนคาดหวังได้ใกล้เคียงเดิม

สำหรับน้ำหนักการลงทุนของกองทุนรวมแต่ละกอง จะขึ้นอยู่กับแผนการลงทุนที่คุณเลือก ว่าเป็นแผนการลงทุนแบบพอเพียง สมดุล หรือเติบโต โดยแต่ละแผนการลงทุนนั้น Jitta Wealth ได้ทดลองนำกองทุนรวม ทั้งตราสารทุน และตราสารหนี้ มาจัดพอร์ตในสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไป เพื่อดูระดับความผันผวน โดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี

รูปแบบการจัดสัดส่วนไหนที่มีค่า Sharpe Ratio และ Sortino Ratio สูงที่สุด ถือเป็นสัดส่วนที่มีความผันผวนน้อยที่สุด ใกล้เคียง Efficient Frontier ตามทฤษฎี Modern Portfolio Theory และเป็นสัดส่วนแม่แบบที่เรานำมาจัดพอร์ตให้คุณนั่นเอง

ซึ่งสัดส่วนกองทุนรวม ที่เราพบว่าให้ประสิทธิภาพทำผลตอบแทนดี ในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม สำหรับแผนการลงทุนต่างๆ มีดังนี้

วิธีปรับพอร์ตแบบอัตโนมัติ

Jitta Wealth บริหารกองทุน Omni Fund ด้วยระบบอัตโนมัติ ที่จะรักษาสัดส่วนการลงทุนตามแผนที่วางไว้ ไร้ความวุ่นวายตลอดระยะเวลาการลงทุน

โดย Jitta Wealth จะปรับพอร์ตการลงทุน เมื่อสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้ เพิ่มขึ้นหรือลดลงเกิน 5% จากสัดส่วนที่จัดสรรไว้ตามแผนการลงทุน หรือ เมื่อครบรอบ 1 ปี หลังจากที่มีการปรับพอร์ตครั้งล่าสุด

การรักษาสัดส่วนของสินทรัพย์ให้อยู่ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ จะช่วยรักษาความสามารถในการสร้างผลตอบแทน และระดับความเสี่ยงให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด

ผลตอบแทนย้อนหลัง (Back Test)

ผลตอบแทนย้อนหลัง (Back Test) ของแผนการลงทุนต่างๆ มีดังนี้

ผลตอบแทนย้อนหลังรายปี (แผนเติบโต)

ตารางแสดงผลตอบแทนย้อนหลัง (Back Test) รายปี

Jitta Wealth

Morningstar Global 80/20

2558

7.92%

-2.13%

2559

5.08%

7.09%

2560

9.85%

20.32%

2561

-8.16%

-7.99%

2562

14.22%

22.21%

2563

13.52%

15.14%

2564

23.79%

12.76%

2565

-12.06%

-17.99

2566

14.62%

18.14%

2567

15.01%

12.47%

ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี

7.85%

7.21%

ผลตอบแทนย้อนหลังรายปี (แผนสมดุล)

ตารางแสดงผลตอบแทนย้อนหลัง (Back Test) รายปี

Jitta Wealth

Morningstar Global 50/50

2558

5.98%

-2.38%

2559

3.29%

5.31%

2560

6.88%

15.17%

2561

-5.10%

-5.33%

2562

9.68%

16.25%

2563

8.51%

13.30%

2564

14.01%

5.53%

2565

-7.70%

-17.62%

2566

8.95%

13.16%

2567

9.78%

6.91%

ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี

5.22%

4.50%

ผลตอบแทนย้อนหลังรายปี (แผนพอเพียง)

ตารางแสดงผลตอบแทนย้อนหลัง (Back Test) รายปี

Jitta Wealth

Morningstar Global 20/80

2558

4.08%

-2.77%

2559

1.82%

3.44%

2560

3.75%

10.23%

2561

-1.75%

-2.74%

2562

5.14%

10.43%

2563

3.83%

10.97%

2564

5.51%

-1.35%

2565

-3.06%

-17.39%

2566

4.36%

8.31%

2567

5.24%

1.58%

ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี

2.85%

1.71%


ผลการดำเนินงานในอดีต ซึ่งได้จากการทดสอบย้อนหลังไม่ได้อ้างอิงจากผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลจากการจำลองการจัดการลงทุนของนโยบายการลงทุนเท่านั้น มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ข้อมูลจากการทดสอบผลตอบแทนย้อนหลัง (Back Test) ของการลงทุนตามนโยบาย Global ETF หักค่าธรรมเนียมบริหารจัดการรายปี (Management Fee) ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Commission Fee) และค่าธรรมเนียมอื่นๆ แล้ว
ข้อมูล Back Test อาจเปลี่ยนแปลงในแต่ละปีสอดคล้องกับการอัปเดตการทำงานของอัลกอริทึม (อ่านเพิ่มเติม)

รายละเอียดการทดสอบผลตอบแทนย้อนหลัง ของ Omni Fund

ลงทุนเริ่มต้นที่ 1,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2557 – 31​ ธันวาคม 2567

  • คิดค่าธรรมเนียมการจัดการที่ 0.8%
  • คิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายตามจริง โดยขึ้นอยู่กับแต่ละกองทุน
  • ทำการปรับสัดส่วนเมื่อครบกำหนด โดยปรับสัดส่วนทุก 1 ปี หรือปรับเมื่อมูลค่าระหว่างตราสารทุน และตราสารหนี้มีสัดส่วนที่ต่างจากสัดส่วนเป้าหมายมากกว่า 5%

ข้อมูลเชิงสถิติ

กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

นักลงทุนสามารถยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนต่างประเทศ และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศได้ รวมถึงมีความต้องการที่จะลดภาระการจัดการด้านภาษีเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศ

แผนการลงทุน: พอเพียง

  • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการ ความมั่นคงของเงินลงทุนเป็นหลัก และสามารถยอมรับความผันผวนของพอร์ตได้ต่ำ
  • นักลงทุนที่มุ่งเน้น การรักษาเงินต้น และรับผลตอบแทนสม่ำเสมอ มากกว่าการเติบโตของเงินลงทุน
  • เหมาะกับ นักลงทุนที่ใกล้เกษียณ หรือมีระยะเวลาลงทุนสั้น ที่ต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ต
  • สามารถยอมรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศได้

แผนการลงทุน: สมดุล

  • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการ ผลตอบแทนในระยะยาว และสามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลาง
  • นักลงทุนที่มองหา การเติบโตของเงินลงทุนพร้อมกับความมั่นคง โดยมีการกระจายการลงทุนระหว่างสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และสูงอย่างเหมาะสม
  • เหมาะกับ นักลงทุนที่มีระยะเวลาลงทุนปานกลางถึงยาว และต้องการพอร์ตที่สมดุลระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยง
  • สามารถยอมรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศได้

แผนการลงทุน: เติบโต

  • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถ รับความผันผวนของตลาดได้สูง และมีเป้าหมายในการเติบโตของเงินลงทุนระยะยาว
  • นักลงทุนที่ต้องการ ผลตอบแทนสูงและยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น แม้จะมีโอกาสขาดทุนในระยะสั้น
  • เหมาะกับ นักลงทุนที่มีระยะเวลาลงทุนยาว และเน้นสร้างความมั่งคั่งในอนาคต
  • สามารถยอมรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศได้

นโยบายการลงทุนนี้ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่

  • นักลงทุนที่ต้องการ ผลตอบแทนคงที่หรือเงินต้นไม่มีความเสี่ยง (เช่น ผู้ที่ต้องการเน้นเงินฝากหรือพันธบัตรระยะสั้น)
  • นักลงทุนที่ไม่สามารถรับความผันผวนของตลาดหุ้นได้เลย หรือไม่สามารถทนต่อการขาดทุนระหว่างทางได้
  • นักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องสูงและอาจต้องใช้เงินลงทุนในระยะสั้น และไม่สามารถถือครองการลงทุนได้นานเกิน 3 ปี
  • กังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

การบริหารความเสี่ยง

1. ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาตราสาร (Market Risk)

ความเสี่ยงที่มูลค่าของหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุนจะเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาวะเศรษฐกิจการลงทุน ปัจจัยทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งพิจารณาได้จากค่า Standard Deviation (SD) ของกองทุน หากกองทุนมีค่า SD สูง แสดงว่ากองทุนมีความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ที่สูง

แนวทางการบริหารเพื่อลดความเสี่ยง: บริษัทจัดการจะกระจายสัดส่วนการลงทุนในตราสารต่างๆ อย่างเหมาะสมซึ่งจะทำให้สามารถควบคุมระดับความเสี่ยงโดยรวมของกองทุนอยู่ในอัตราที่เหมาะสมตามนโยบายและมีดุลยภาพกับด้านผลตอบแทนตามที่คาดหวัง

2. ปัจจัยความเสี่ยงจากการดำเนินงานของผู้ออกตราสาร (Business Risk)

กองทุนรวมเป็นผลิตภัณฑ์การลงทุนที่จัดตั้งขึ้น โดยอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทจัดการกองทุน (Asset Management Company) ความน่าเชื่อถือของกองทุนรวมจึงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ ขนาดของกองทุน ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัทจัดการกองทุน รวมถึงคุณภาพของหลักทรัพย์ที่ใช้เป็นสินทรัพย์รองรับภายในกองทุน

แนวทางการบริหารเพื่อลดความเสี่ยง: เลือกลงทุนเฉพาะกองทุนรวมขนาดใหญ่ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่น่าเชื่อถือ มีกฎฏระเบียบควบคุมที่เหมาะสม และเป็นกองทุนที่ออกโดยบริษัทจัดการกองทุนที่มีชื่อเสียง

3. ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องของตราสาร (Liquidity Risk)

ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการที่กองทุนไม่สามารถจำหน่ายตราสารนั้น ๆ ได้ในราคาที่เหมาะสมและภายในระยะเวลาอันสมควร

แนวทางการบริหารเพื่อลดความเสี่ยง: บริษัทจัดการจะพิจารณาเลือกลงทุนในตราสารที่มีคุณภาพดีทั้งในด้านความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร ตลอดจนสภาพคล่องของตราสาร

4. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange Rate Risk)

ความเสี่ยงจากการที่กองทุนที่ลงทุนนำเงินไปลงทุนในรูปของสกุลเงินตราต่าง ๆ ดังนั้น ในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน ก็จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนได้

แนวทางการบริหารเพื่อลดความเสี่ยง: เนื่องจากกองทุนมีนโยบายการลงทุนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป จึงไม่มีสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม จากกองทุนรวมที่ไปลงทุน

5. ปัจจัยความเสี่ยงจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร (Credit Risk)

หมายถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการตราสารหนี้ที่ลงทุนอยู่ไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้ เนื่องจากผู้ออกตราสารหนี้ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้

แนวทางการบริหารเพื่อลดความเสี่ยง: กองทุนมีนโยบายลงทุนเฉพาะ ETF ตราสารทุน ซึ่งไม่มีความเสี่ยงจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร หรือลงทุนใน ETF ตราสารหนี้ที่มีการกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดี ทำให้มีความเสี่ยงจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสารต่ำ

6. ความเสี่ยงจากการเข้าทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Leverage Risk)

กองทุนไม่มีนโยบายการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า จึงไม่มีความเสี่ยงนี้

7. ความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment Grade) หรือที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated)

กองทุนไม่มีโนบายการลงทุนในตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment Grade) หรือที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated) จึงไม่มีความเสี่ยงนี้

ผู้จัดการกองทุน

นายมาโนช ช่างสลัก (ตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2564)

นายประภัศร์พงษ์ นันทกิจพัฒนา (ตั้งแต่ 29 กันยายน 2566)

หมายเหตุ

ในการเสนอนโยบายการลงทุนของกองทุนส่วนบุคคลนี้มิได้เป็นการแสดงว่าสำนักงาน ก.ล.ต. ได้รับรองถึงความถูกต้องของข้อมูลดังกล่าว หรือได้ประกันราคาหรือผลตอบแทนของนโยบายการลงทุนที่เสนอนั้น

กระจายลงทุนทั่วโลก ผ่านกองทุนรวมที่คุณคุ้นเคย
เปิดบัญชี Omni Fund วันนี้คว้าโอกาสเติบโตสบายใจ ไร้กังวลเรื่องภาษีต่างประเทศ