All CategoryOptimize

อัปเดต Thematic Optimize ล่าสุด 2568 รู้ทันวัฏจักรตลาดหุ้นมากขึ้น

peat 14 สิงหาคม 2025

ไฮไลต์

  • หลีกเลี่ยงการลงทุนในธีมที่ “ราคาสูงเกินไป” ด้วยระบบวิเคราะห์วัฏจักรตลาดหุ้น
  • เพิ่มกลยุทธ์ถือ UUP เมื่อตลาดเริ่มมีความเสี่ยงสูง ช่วยป้องกันพอร์ตไม่ให้ตกหนัก
  • Back Test ชี้ชัด ระบบใหม่ช่วยลดขาดทุนในปี วิกฤติ เช่น 2565 ได้อย่างชัดเจน

ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา ที่เราเปิดให้ลงทุนในพอร์ต Thematic Optimize 

เราได้เห็นพอร์ตเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทายมากมาย จากช่วงเวลาที่ธีมเติบโตต่อเนื่อง ไปจนถึงช่วงที่เศรษฐกิจโลกสร้างความไม่แน่นอนในตลาดหุ้น

ประสบการณ์เหล่านี้คือบทเรียน ที่เรานำกลับมาปรับปรุงอัลกอริทึม Thematic Optimize ของเราให้ “รู้ทันวัฏจักรของตลาดหุ้นมากขึ้น” เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนในธีมระยะยาวได้อย่างมั่นใจยิ่งกว่าเดิม

นั่นคือเหตุผลที่เราอัปเดต Thematic Optimize เวอร์ชันใหม่ ซึ่งจะเริ่มใช้งานในวันที่ 1 กันยายน 2568 นี้

โดยมีเป้าหมายหลักในการ เพิ่มความยืดหยุ่น ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติหนักๆ 

1. หลีกเลี่ยงการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูง

การลงทุนในธีมเมกะเทรนด์ คือการลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกในระยะยาว แต่ในระยะสั้น ราคาหุ้นของกลุ่มเมกะเทรนด์ก็มีวัฏจักรขึ้นลงเหมือนหุ้นทั่วไป หรืออาจจะมากกว่าด้วยเพราะเป็นกลุ่มที่มีนักลงทุนให้ความคาดหวังสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ 

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ถ้าหากเราเข้ามาลงทุนในช่วงที่หุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ขึ้นมาสูง (มากกว่าพื้นฐานความเป็นจริง) ด้วยการมองโลกในแง่ดีมากๆ ของนักลงทุน อาจจะทำให้เราขาดทุนหนักๆ ได้ เช่น การลงทุนในปี 2565 หลังจากที่ หุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ แทบจะทุกธีม ทุกตัว ขึ้นมาอย่างร้อนแรงในปี 2563-2564 ติดต่อกัน

ในทางกลับกัน ถ้าหากเราเข้าไปลงทุนหลังจากช่วงที่หุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ตกลงมาหนักๆ (ต่ำกว่าพื้นฐานความเป็นจริง) เพราะนักลงทุนมองโลกในแง่ร้ายมากๆ ก็จะทำให้เราทำกำไรได้ เช่น การลงทุนในปี 2566-2567 หลังจากที่หุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ แทบจะทุกธีม ทุกตัว ตกลงมาอย่างหนักในปี 2565 เป็นต้น

ในเวอร์ชันใหม่ของอัลกอริทึม Thematic Optimize เราจึงได้พัฒนาประสิทธิภาพเพิ่มเติม โดยทำการวิเคราะห์ตัวเลขชี้วัดต่างๆ เพื่อประเมินว่า “ธีมเมกะเทรนด์โดยรวม ตอนนี้อยู่ในช่วงไหนของวัฏจักร?” เป็นช่วงที่เรายังลงทุนได้อยู่ไหม หรือเป็นช่วงที่เราควรจะหลีกเลี่ยงไม่ลงทุน เพราะมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะตกลงมาอย่างรุนแรงตามวัฏจักรขาลง

ถ้าอัลกอริทึมพบว่า ธีมส่วนใหญ่มีราคาขึ้นมาสูงมากเกินกว่าที่ควรจะเป็นพร้อมๆ กัน แสดงว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ธีมกำลังอยู่ในจุดที่ราคาอยู่ “สูงมาก” ของวัฏจักร ถ้าเราลงทุนไปในช่วงเวลานี้อาจจะมีโอกาสขาดทุนสูง อัลกอริทึมจะทำการหลีกเลี่ยงไม่เข้าลงทุนในธีมเมกะเทรนด์ใดๆ เลยในช่วงเวลานั้น เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้พอร์ตเสียหายหนัก และ “รอจังหวะ” กลับมาลงทุนในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่หุ้นในกลุ่มนี้ตกลงมาเรียบร้อยแล้ว

2. เข้าลงทุนใน UUP แทนที่ธีมต่างๆ ระหว่างรอคอย

ถ้าระบบมองว่า “ธีมโดยรวมราคาสูงเกินไป” และไม่เข้าลงทุนในธีมต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยง ระบบจะไม่ถือเงินสดอยู่เฉยๆ แต่จะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีค่าสหสัมพันธ์ต่ำกับตลาดหุ้นแทน เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในช่วงเวลานั้นๆ 

ซึ่งเราได้ทดลองการถือสินทรัพย์หลายๆ ประเภท ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นโดยรวมตกหนัก ทั้ง ทองคำ พันธบัตร สาธารณูปโภค และอื่นๆ ซึ่งทางเลือกที่เราพบว่าให้ผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยงที่ดีที่สุดก็คือ UUP ซึ่งเป็น ETF ที่สะท้อนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ

โดยทั่วไป UUP จะมีพฤติกรรมสวนทางกับตลาดหุ้น ในหลายช่วงเวลา โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤติ ตลาดมีความผันผวน หรือนักลงทุนลดความเสี่ยง ก็จะย้ายเงินลงทุนจากหุ้น มาอยู่ในสินทรัพย์คล้ายเงินสดแทน ค่าเงินดอลลาร์เลยแข็งค่าขึ้น

จากข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี UUP มี Correlation ต่ำกับตลาดหุ้นชัดเจนในช่วงตลาดปรับฐาน ทำให้พอร์ตมีโอกาสที่จะทำกำไรได้ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำ

3. ผลลัพธ์ Back Test ปกป้องพอร์ตได้ดีในช่วงตลาดไม่แน่นอน

เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพของแนวคิดใหม่นี้ เราได้ทำ Back Test โดยใช้ข้อมูลของ 21 ETFs หลักที่อยู่ใน Universe ของ Thematic Optimize พบว่า อัลกอริทึมที่ใช้ชี้วัดความน่าลงทุนของธีมเมกะเทรนด์ และการลงทุนใน UUP ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงมากเกินไป ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตได้อย่างดี

ภาพเปรียบเทียบผลตอบแทน Back Test ของอัลกอริทึมเดิมและอัลกอริทึมใหม่ แสดงให้เห็นว่า ในปีที่ตลาดผันผวนอัลกอริทึมเดิมติดลบแต่อัลกอริทึมใหม่ทำผลงานได้เป็นบวก เช่นปี 2561 อัลกอริทึมเดิม -7.50% ส่วนอัลกอริทึมใหม่ +5.01% หรือปี 2565 อัลกอริทึมเดิม -23.46% แต่อัลกอริทึมใหม่ +7.85% ทั้งนี้ในปีที่ตลาดเป็นบวกบางปีอัลกอริทึมใหม่ก็ทำผลงานได้น้อยกว่าอัลกอริทึมเดิม เช่นปี 2562 อัลกอริทึมเดิม +39.22% ส่วนอัลกอริทึมใหม่ +22.70% แต่โดยภาพรวมผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นต่อปี CAGR ตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2567 อัลกอริทึมเดิมทำได้ 18.15% ต่อปี ส่วนอัลกอริทึมใหม่ทำได้มากกว่าที่ 23.20% ต่อปี

ถ้าเราดูปีที่ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูง เช่น ปี 2565 เป็นปีที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรง อัลกอริทึมเดิมจะมีผลตอบแทนติดลบที่ -23.46% แต่อัลกอริทึมใหม่ที่วิเคราะห์ได้ว่าตลาดหุ้นมีความเสี่ยงสูง เลยปรับพอร์ตมาลงทุนใน UUP แทนธีมเมกะเทรนด์ต่างๆ ในช่วงนั้น กลับให้ผลตอบแทนบวกถึง 7.85%

เช่นเดียวกับปี 2561 ที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงในช่วงปลายปี ทำให้ผลตอบแทนของอัลกอริทึมเดิมติดลบ -7.50% เมื่อปรับเป็นอัลกอริทึมใหม่ที่ทำการลงทุนใน UUP แทนธีมเมกะเทรนด์ต่างๆ ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 5.26% เป็นต้น

และจะเห็นได้ว่า จุดเด่นสำคัญของอัลกอริทึมใหม่ในครั้งนี้ ที่มีการลงทุนใน UUP แทนธีมเมกะเทรนด์ต่างๆ  ในปีที่ตลาดมีความเสี่ยงสูง คือ ไม่มีปีใดเลยที่ผลตอบแทนติดลบ ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมมีความเสี่ยงลดลงอย่างชัดเจน และ มีความสม่ำเสมอของผลตอบแทนมากขึ้น

อัลกอริทึมใหม่ของ Thematic Optimize จะเริ่มใช้โดยอัตโนมัติในวันที่ 1 กันยายน 2568 นี้ กับทุกพอร์ตที่ลงทุนในนโยบาย Thematic Optimize โดยที่คุณไม่ต้องดำเนินการใดๆ เพิ่มเติม

เรายังคงยึดมั่นในการพัฒนาอัลกอริทึมการลงทุนของเราให้ดีขึ้นเสมอ และเรามั่นใจว่าอัลกอริทึมใหม่นี้ จะช่วยให้พอร์ต Thematic Optimize ของคุณเติบโตอย่างมั่นคง เข้าใจความเสี่ยง รู้จังหวะที่จะรอ และรู้เวลาที่ควรเดินหน้า พร้อมลงทุนอย่างมีเหตุผล ท่ามกลางวัฏจักรของตลาดหุ้นที่มีทั้งความโลภและความกลัวสลับกันไปมาเสมอๆ 

หากคุณมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรา สามารถติดต่อทีม Jitta Wealth ได้ที่ Line: @JittaWealth หรือโทร 02-460-8888