All CategoryGlobal ETF

ลงทุน S&P 500 หรือ Global ETF แบบไหนเหมาะกับคุณ

peat 5 สิงหาคม 2025

ไฮไลต์

  • S&P 500 คือการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ 500 บริษัท เหมาะกับคนที่มั่นใจในเศรษฐกิจสหรัฐฯ และรับความผันผวนได้
  • Global ETF ของ Jitta Wealth กระจายลงทุนทั้งหุ้นทั่วโลกและตราสารหนี้ เหมาะกับคนที่อยากลงทุนหุ้นสหรัฐฯ แต่ก็ไม่อยากเครียดจนเกินไป อยากกระจายความเสี่ยงมากขึ้น
  • พอร์ต Global ETF แผนเติบโต มีจุดขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) ต่ำกว่า S&P 500 อย่างเห็นได้ชัดในช่วงวิกฤติ

หากคุณกำลังจะเริ่มต้นลงทุนระยะยาว… แล้วมีคำถามในใจว่า “ควรเลือกอะไรดีระหว่าง S&P 500 กับ Global ETF?”

บางคนบอกว่า S&P 500 คือดัชนีหุ้นที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก รวมบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ไว้ครบ

อีกด้านหนึ่ง Global ETF ก็มีข้อดีตรงที่กระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก ลงทุนได้หลายภูมิภาค ไม่ต้องพึ่งพาแค่เศรษฐกิจสหรัฐฯ 

แต่จะเลือกแบบไหนดีให้เหมาะกับคุณ?

บทความนี้จะมาเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ว่านอกจากเรื่องของผลตอบแทนแล้ว S&P 500 และ Global ETF ต่างกันอย่างไร เพื่อให้คุณเลือกลงทุนระยะยาวได้แบบสบายใจที่สุด 

รู้จัก S&P 500 และ Global ETF

S&P 500 เป็นดัชนีที่รวมบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่สุด 500 แห่ง ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ 

สามารถลงทุนโดยการซื้อหุ้นที่น่าสนใจในดัชนี S&P 500 หรือลงทุนผ่าน ETF ที่อ้างอิงดัชนี S&P 500 ซึ่งปัจจุบันมี ETF ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น iShares Core S&P 500 ETF (IVV) หรือ SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY) เป็นต้น

(อยากรู้จัก S&P 500 มากขึ้นสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)

Global ETF เป็นนโยบายการลงทุนของ Jitta Wealth ที่คัดเลือก ETF มาจัดพอร์ตให้ตามหลัก Modern Portfolio Theory ซึ่งเป็นการนำสินทรัพย์หลายประเภทที่ไม่ค่อยสัมพันธ์กันมาจัดพอร์ตในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถทำกำไรได้สูงสุดบนความเสี่ยงที่จำกัด ทำให้พอร์ตโดยรวมผันผวนน้อยลง แต่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนคาดหวังที่น่าพอใจได้

ซึ่ง Global ETF จะลงทุนในสินทรัพย์ดังนี้

ETF หุ้น

  • Vanguard Total Stock Market ETF (VTI) – รวมหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ
  • Vanguard FTSE Developed Markets ETF (VEA) – รวมหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ประเทศพัฒนาแล้วนอกเหนือจากสหรัฐฯ
  • Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO) – รวมหุ้นทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีน บราซิล ไต้หวัน และแอฟริกาใต้

ETF ตราสารหนี้

  • iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF (AGG) – รวมพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้คุณภาพดี (Investment Grade) ของสหรัฐฯ ที่มีระยะเวลาหมดอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปี
  • Vanguard Intermediate-Term Corporate Bond ETF (VCIT) – รวมหุ้นกู้คุณภาพดี (Investment Grade) ของสหรัฐฯ กว่า 2,000 หลักทรัพย์

แต่ละ ETF จะมีการจัดสัดส่วนพอร์ตตามแผนการลงทุนที่คุณเลือก ได้แก่ แผนพอเพียง สมดุล และ เติบโต (สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่)

เปรียบเทียบการกระจายความเสี่ยง

หากมองในมุมความเสี่ยงแล้ว การกระจายสินทรัพย์แบบ Global ETF นั้นทำให้พอร์ตโดยรวมผันผวนน้อยกว่า หากดูจากจุดขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) แบบรายปี โดยเปรียบเทียบระหว่างพอร์ต Global ETF แผนเติบโต (พอร์ตจริงของคุณเผ่า ที่ลงทุนตั้งแต่ช่วงเปิดนโยบาย) กับ ดัชนี S&P 500 

จะเห็นได้ชัดว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง อย่างปี 2565 จุดขาดทุนสูงสุดของ S&P 500 ติดลบถึง -26.74% ขณะที่ Global ETF แผนเติบโต ติดลบเพียง -17.24% 

หรือจะเป็นในปี 2568 (ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 ก.ค. 68) ที่ผ่านความผันผวนมากมากมาย จุดขาดทุนสูงสุดที่ S&P 500 เคยตกลงไปคือ -17.79% ขณะที่ Global ETF เคยติดลบเพียง -8.83% เท่านั้น

ภาพกราฟแท่งเปรียบเทียบจุดขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) แบบรายปี โดยเปรียบเทียบระหว่างพอร์ต Global ETF แผนเติบโต (พอร์ตจริงของคุณเผ่า ที่ลงทุนตั้งแต่ช่วงเปิดนโยบาย) กับ ดัชนี S&P 500 ตั้งที่ช่วงปี 2564-2568 แสดงให้เห็นว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาลง อย่างปี 2565 จุดขาดทุนสูงสุดของ S&P 500 ติดลบถึง -26.74% ขณะที่ Global ETF แผนเติบโต ติดลบเพียง -17.24% หรือจะเป็นในปี 2568 (ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 ก.ค. 68) ที่ผ่านความผันผวนมากมากมาย จุดขาดทุนสูงสุดที่ S&P 500 เคยตกลงไปคือ -17.79% ขณะที่ Global ETF เคยติดลบเพียง -8.83% เท่านั้น

แบบไหนเหมาะกับคุณ

หากคุณรับความเสี่ยงได้ และต้องการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ การลงทุนใน S&P 500 ถือว่าตอบโจทย์

แต่ถ้าคุณอยากลงทุนหุ้นสหรัฐฯ แต่ก็ไม่อยากเครียดจนเกินไป อยากกระจายความเสี่ยงมากขึ้น และมีระบบช่วยปรับพอร์ตให้อัตโนมัติ Global ETF คือสิ่งที่คุณกำลังตามหา

แม้การลงทุนใน S&P 500 จะได้ผลตอบแทนเยอะกว่า Global ETF (S&P 500 ย้อนหลัง 10 ปีเฉลี่ย 12.2% ต่อปี ส่วน Global ETF แผนเติบโต ผลตอบแทนย้อนหลัง (Back Test) 10 ปี เฉลี่ย 8.03% ต่อปี) 

แต่ความยากที่คุณจะไปถึงผลตอบแทนระยะยาวเหล่านั้นได้ นั่นคือคุณอาจต้องผ่านปีที่ยากลำบาก ปีที่ตลาดผันผวนหนัก ซึ่งนักลงทุนทั่วๆ ไปเกินกว่าครึ่งรับไม่ไหวจนต้องถอนตัวออกจากตลาดไป ดังนั้นการจัดพอร์ตให้สามารถลงทุนได้อย่างสบายใจที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ  

อีกหนึ่งคำแนะนำคือ คุณสามารถลงทุนแบบ Core & Satellite โดยลงทุน Global ETF เป็น Core Port ไว้ แล้ว ลงทุนดัชนี S&P 500 หรือตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ที่คุณสนใจ เป็น Satellite Port ที่มีสัดส่วนน้อยกว่า เท่านี้พอร์ตโดยรวมของคุณก็ยังเติบโตได้ในระยะยาว และคุณเองก็ยังสนุกกับการมองหาโอกาสทำกำไรบนความเสี่ยงที่มากขึ้นในแต่ละปีได้ 

สนใจการลงทุนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย