เปิดเคล็ดลับจัดพอร์ตแบบ Jitta Ranking ทำไมต้องถือหุ้น 5-20 ตัว?
ไฮไลต์
- หลักการจัดพอร์ตแบบ Jitta Ranking เลือกถือหุ้น 5-20 ตัว เพราะเป็นจำนวนที่ ‘กระจายความเสี่ยงได้ดีที่สุด’ โดยยังคงคุณภาพผลตอบแทนระยะยาว
- การเพิ่มจำนวนหุ้นจาก 1 เป็น 10-20 ตัว ช่วยลดความเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจง’ หรือความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบได้มากที่สุด ส่วนจำนวนที่มากเกิน 30 ตัว มักเพิ่มประสิทธิภาพไม่มากนัก
- แนวคิด Magic Formula ของ Joel Greenblatt และทฤษฎีการกระจายความเสี่ยงของ Graham คือรากฐานสำคัญที่ถูกนำมาพัฒนาใน Jitta Ranking
- อีกกลยุทธ์สำคัญของ Jitta Ranking คือ การปรับพอร์ตทุก 3 เดือน ทำให้พอร์ตมีหุ้นคุณภาพดีตามงบการเงินล่าสุดอยู่เสมอ โดยไม่ซื้อขายถี่จนต้นทุนสูงเกินไป
- นักลงทุนสามารถนำหลักการนี้ไปประยุกต์ใช้เอง หรือเลือกให้ Jitta Ranking และ Jitta Ranking Alpha จัดการพอร์ตแบบครบจบทุกขั้นตอน
ในการจัดพอร์ตหุ้น นอกจากคำถามที่ว่า “ควรซื้อหุ้นตัวไหนดี?” คำถามที่มีเยอะไม่แพ้กันก็คือ “แล้วควรจะต้องซื้อหุ้นกี่ตัว?”
วันนี้เราจะมาเปิดเคล็ดลับ ‘สูตรมหัศจรรย์’ ซึ่งเป็นหลักการจัดพอร์ตของนโยบาย Jitta Ranking นโยบายลงทุนหุ้นรายตัวของ Jitta Wealth ที่จะคัดเลือกหุ้นคุณภาพดี ราคาเหมาะสมมาจัดพอร์ตให้คุณ ในจำนวนที่ ‘เหมาะสม’ นั่นก็คือประมาณ 5-20 ตัว
เหตุผลที่ต้องเป็นจำนวนนี้เพราะอะไร ไปดูกันได้เลย
การจัดพอร์ตและกระจายความเสี่ยงของนโยบาย Jitta Ranking
เพื่อป้องกันไม่ให้พอร์ตของคุณได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากจนเกินไป
นโยบาย Jitta Ranking จึงคัดเลือกหุ้นคุณภาพดี ราคาเหมาะสม 5-20 ตัว มาจัดพอร์ตในสัดส่วนเท่าๆ กัน เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนให้ได้มากที่สุด แต่ยังรักษาผลตอบแทนระยะยาวที่ดี
หากคุณเริ่มต้นลงทุนที่ขั้นต่ำ 500,000 บาท คุณจะได้หุ้นอย่างน้อย 5 ตัวในระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อพอร์ตมีการเติบโตในระดับหนึ่ง จำนวนหุ้นก็จะถูกเลือกซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้น ช่วยให้พอร์ตกระจายตัวได้ดีมากยิ่งขึ้น
ในกรณีที่พอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้น ไม่ว่าจะด้วยจากการเพิ่มทุน ผลตอบแทนที่งอกเงยขึ้น หรือจากเงินปันผลที่เข้ามาเป็นระยะๆ ซึ่งระบบจะทยอยซื้อหุ้นเพิ่มให้ในช่วงเวลาที่ต่างกัน ทำให้ในบางช่วงเวลา ในพอร์ตอาจมีหุ้น เกิน 20 ตัว ไปจนถึง 30 ต้นๆ ได้
ซึ่งจำนวนที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้เพิ่มความยุ่งยาก หรือเป็นผลเสียกับพอร์ต เพราะระบบการจัดการ กระจายลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมให้อยู่เสมอ
โดยคุณสามารถ DCA สม่ำเสมอ เพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุน และช่วยให้พอร์ตกระจายตัวได้เร็วยิ่งขึ้น (ดูวิธีตั้งค่าฝากเงินอัตโนมัติ DCA)
โดยระบบบริหารจัดการพอร์ต จะกระจายเงินซื้อหุ้นโดยเน้นรักษาสมดุลของพอร์ตเป็นสำคัญ นั่นคือ สัดส่วนหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตควรจะใกล้เคียงกันที่สุด พอร์ตมีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม และยังคงสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเพิ่มทุนบ่อยครั้งแค่ไหน คุณก็มั่นใจได้ว่าเงินลงทุนจะไม่ไปกระจุกอยู่ในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
ทำไมต้องกระจายความเสี่ยงถือหุ้นหลายตัว
ตามทฤษฎีแล้ว การลงทุนจะมีความเสี่ยงอยู่ 2 ด้านหลักๆ คือ
- ความเสี่ยงที่เป็นระบบ หรือ Systematic Risk ความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบทั้งระบบ ทั้งตลาด เช่น การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่กระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก
- ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ หรือ Unsystematic Risk ความเสี่ยงที่จะกระทบเฉพาะจุด ซึ่งตรงข้ามกันข้อแรก เช่น โรงงานผลิตเกิดไฟไหม้ ซึ่งจะกระทบแค่เฉพาะบริษัทนั้นๆ หรือส่งผลแค่กับราคาหุ้นตัวนั้นๆ
การกระจายความเสี่ยงในหุ้นหลายๆ ตัวจึงช่วยลดความเสี่ยง ที่ไม่เป็นระบบ หรือ Unsystematic Risk ที่ว่ามานี้ได้
แต่จากส่วนหนึ่งของงานวิจัย Risk Reduction and Portfolio Size: An Analytical Solution (Elton & Gruber, 1977)
ผลจากการใช้ข้อมูลจริงของหุ้นจำนวนมาก (ประมาณ 3,290 หุ้น ระหว่างปี 1971‑1974) แสดงให้เห็นว่าเมื่อจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น ความผันผวน (Standard Deviation) ของพอร์ตลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงแรก (เช่น จาก 1 ตัว เป็น 10 ตัว) แล้วลดลงช้าลงเมื่อจำนวนหุ้น มากขึ้น
สรุปคือหากถือพอร์ตเล็กๆ (เช่นถือหุ้น 5‑10 ตัว) จะได้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงมาก แต่ยังมีความเสี่ยงเฉพาะตัวเหลืออยู่มากเช่นกัน
หากเพิ่มจำนวนหุ้นจนถึง 20‑30 ตัว แล้ว อาจถึงจุดที่การเพิ่มจำนวนหุ้นอีก กลับไม่ได้ลดความเสี่ยงมากเท่าเดิม
อย่างไรก็ตาม จะต้องคำนึงถึงค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) หรือการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในพอร์ตด้วย เพราะหากหุ้นที่มีเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด การกระจายความเสี่ยงด้วยหุ้นหลายตัวอาจมีประสิทธิภาพน้อยลง
สรุปคือ ผลกระทบหรือความผันผวนที่เกิดขึ้นกับพอร์ตจะน้อยลง ถ้าเรากระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
อธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น เช่น การถือหุ้น 20 ตัวในสัดส่วนที่เท่ากัน เท่ากับเราจะถือหุ้นตัวละประมาณ 5% ของพอร์ต
ถ้ามีหุ้น 1 ตัวราคาตกลงไป -50% ด้วยเหตุการณ์เฉพาะบริษัท ก็จะกระทบกับพอร์ตรวมแค่ประมาณ 2.5% เท่านั้น

Magic Formula สูตรมหัศจรรย์ เบื้องหลังการจัดพอร์ต Jitta Ranking
Benjamin Graham อาจารย์ของ Warren Buffett ผู้ริเริ่มแนวทางการลงทุนแนวเน้นคุณค่าเชิงปริมาณ เชื่อว่าการนักลงทุนที่วิเคราะห์หุ้นจากงบการเงินย้อนหลังเป็นหลัก สามารถลดโอกาสขาดทุนได้มากยิ่งขึ้นอีก โดยการซื้อหุ้นจำนวนมาก อย่างน้อย 20-30 ตัว
แนวคิดนี้ได้รับการต่อยอดโดย Joel Greenblatt ผู้คิดค้นสูตรลงทุน Magic Formula หรือ สูตรมหัศจรรย์
ในการทดสอบผลตอบแทนของ Magic Formula Greenblatt ก็เลือกซื้อหุ้นตามสูตรมาทั้งหมด 30 ตัวเพื่อกระจายความเสี่ยง และถือจนครบ 1 ปี ค่อยปรับพอร์ตตามสูตร 1 ครั้ง
ผลลัพธ์ที่ได้คือ อัตราผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยต่อปี 19.7% เป็นเวลา 21 ปี ชนะดัชนี S&P 500 ที่ทำได้เพียง 9.5% ต่อปีเท่านั้น
ในตลาดหุ้นไทย ก็มี ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา ที่ได้ลองใช้สูตร Magic Formula ซื้อขายหุ้น 30 ตัว ปรับพอร์ตปีละครั้ง กับตลาดหุ้นไทยช่วงปี พ.ศ. 2539-2553 ก็ได้ผลตอบแทน ‘มหัศจรรย์’ เหมือนกัน
นั่นคือหลักการบริหารพอร์ตและกระจายความเสี่ยงที่ Jitta Wealth นำมาปรับประยุกต์ใช้กับการลงทุนตาม Jitta Ranking
การปรับพอร์ต กลยุทธ์สำคัญของนโยบาย Jitta Ranking
นอกจากการคัดเลือกหุ้นคุณภาพดีราคาเหมาะสม มาจัดพอร์ตในสัดส่วนที่เหมาะสมแล้ว การปรับพอร์ตทุกๆ 3 เดือน ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นโยบาย Jitta Ranking สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
การปรับพอร์ตทุกๆ 3 เดือน มีข้อดีที่สำคัญมาก คือ คุณจะได้ปรับพอร์ตตามงบการเงินล่าสุด ทำให้มีหุ้นที่ดีที่สุดอยู่ในพอร์ตตลอดเวลา แต่ก็ไม่บ่อยเกินไปจนทำให้คุณเสียค่าธรรมเนียมซื้อขายไปเปล่าๆ
วิกฤติตลาดหุ้นทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่กังวล ไม่กล้าลงทุนเพราะยังไม่รู้ว่าตลาดจะขึ้นหรือจะลง การปรับพอร์ตบ่อยขึ้นจะช่วยกระจายความเสี่ยงทางเวลา รับมือกับความไม่แน่นอนของตลาดหุ้นช่วงวิกฤติได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม การปรับพอร์ตถี่จนเกินไปก็ใช่ว่าจะส่งผลดีต่อการลงทุน เพราะเมื่อคุณลงทุนตาม Jitta Ranking คุณได้ลงทุนในธุรกิจที่พื้นฐานดี และน่าจะมีโอกาสเติบโตไปนานๆ อยู่แล้ว การปรับพอร์ตทุกๆ 3 เดือน หลังจากงบการเงินล่าสุดออก จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมกำลังดี จะช่วยอัปเดตพอร์ตคุณให้มีหุ้นที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น ตามพื้นฐานข้อเท็จจริง
และผลตอบแทนย้อนหลังของ Jitta Wealth ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าการปรับพอร์ตทุก 3 เดือนนั้นเป็นระยะเวลาที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้สูงกว่าดัชนีตลาดในระยะยาว (สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของ Jitta Ranking ได้ที่นี่)
ทั้งหมดนี้เป็นหลักการลงทุนในนโยบาย Jitta Ranking และ Jitta Ranking Alpha ที่จะมี Alpha AI คอยเลือกประเทศที่น่าลงทุนที่สุดให้อีกที ก่อนจะจัดพอร์ตตามแบบฉบับของ Jitta Ranking
คุณสามารถนำแนวทางการบริหารจัดการพอร์ตเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับพอร์ตหุ้นของคุณเอง เพื่อให้การลงทุนของคุณเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ และประสบความสำเร็จในระยะยาว
หากไม่อยากคัดเลือกหุ้นหรือบริการจัดการพอร์ตด้วยตัวเอง Jitta Wealth ช่วยได้
ด้วยระบบการจัดการที่เราพูดถึงไปข้างต้น คุณสามารถเลือกลงทุนในนโยบาย Jitta Ranking ไม่ว่าจะเป็น หุ้นสหรัฐฯ หุ้นจีน หุ้นญี่ปุ่น หุ้นเวียดนาม หุ้นฮ่องกง หุ้นไทย หรือจะเป็น หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ และหุ้นเทคโนโลยีจีน (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
หรือกับ Jitta Ranking Alpha ที่มี Alpha AI คอยเลือกประเทศที่น่าลงทุนที่สุดให้จาก 4 ตลาดหลักของโลกอย่าง สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง พร้อมทั้งคอยรีวิวปรับประเทศให้ทุกปี อยากลงทุนต่างประเทศแต่ไม่รู้จะเลือกประเทศไหนดี ลงไปแล้วกลัวว่าปีหน้าสถานการณ์เปลี่ยนแล้วไม่รู้จะทำอย่างไร ให้ Jitta Ranking Alpha จัดการให้ได้เลย
และที่สำคัญตอนนี้ Jitta Ranking Alpha ปรับลดเงินลงทุนขั้นต่ำเหลือเพียง 500,000 บาท (จากปกติ 2 ล้านบาท) อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่