ลงทุนหุ้นจีนต้องรู้! ข้อแตกต่าง A-shares และ H-shares แบบครบจบในที่เดียว
ไฮไลต์
- การลงทุนในตลาดหุ้นจีน หลักๆ แบ่งเป็น A-shares และ H-shares
- A-shares ซื้อขายในจีนด้วยเงินหยวน สะท้อนเศรษฐกิจในประเทศและนโยบายภาครัฐ
- H-shares ซื้อขายในฮ่องกงด้วยดอลลาร์ฮ่องกง เข้าถึงง่ายสำหรับนักลงทุนทั่วโลก
- อยากลงทุนหุ้นจีนแบบครบจบทั้งสองตลาด ทำได้ง่ายผ่าน Jitta Wealth
เมื่อพูดถึง ‘หุ้นจีน’ หลายคนอาจนึกถึงเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ที่เต็มไปด้วยโอกาส ทั้งเทคโนโลยีการเงิน (Fintech) ที่มีดาวรุ่งอย่าง Ant Group บริษัทพลังงานสะอาดที่กำลังเปลี่ยนโลกอย่าง CATL หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดังอย่าง Alibaba และ JD.com ธุรกิจเหล่านี้ล้วนมีชื่ออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของจีนทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่ทำให้นักลงทุนสับสนมากที่สุด ไม่ใช่จำนวนหรือความหลากหลายของบริษัท ทว่าเป็นคำเรียกหุ้นจีนที่ฟังดูคล้ายกันอย่าง A-shares และ H-shares ซึ่งแม้จะต่างกันแค่ตัวอักษร แต่ความจริงแล้วสะท้อนสองโลกของตลาดทุนจีนที่มีระบบ กติกา และโอกาสการลงทุนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
จุดเริ่มต้นของตลาดหุ้นจีน
ย้อนกลับไปช่วงปลายทศวรรษ 1970 หลังจากที่จีนเริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจ ‘ตลาดทุน’ กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการระดมทุนของบริษัทภายในประเทศ
แต่ยุคนั้นรัฐบาลจีนยังไม่เปิดเสรีทางการเงินอย่างเต็มรูปแบบ จึงต้องการระบบที่สามารถแยก ‘นักลงทุนในประเทศ’ ออกจาก ‘นักลงทุนต่างชาติ’ เพื่อควบคุมการไหลเข้าออกของเงินทุนได้อย่างเข้มงวด
ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1990 ตลาดหลักทรัพย์สองแห่งถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exchange: SSE) และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (Shenzhen Stock Exchange: SZSE)
ทั้งคู่มีเป้าหมายหลัก คือ ช่วยให้ธุรกิจในประเทศเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการขายหุ้นให้ประชาชนชาวจีน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านกฎหมายและการควบคุมเงินทุน รัฐบาลจึงกำหนด ‘หมวดหุ้น’ เพื่อแยกนักลงทุนและสกุลเงินที่ใช้ซื้อขายออกจากกัน
ที่มาของ A-shares และ H-shares
ในช่วงแรก หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ A-shares และ B-shares โดย A-shares เป็นหุ้นที่ซื้อขายด้วยเงินหยวนและจำกัดเฉพาะนักลงทุนชาวจีน ส่วน B-shares เปิดให้ชาวต่างชาติซื้อขายได้โดยใช้เงินตราต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐหรือดอลลาร์ฮ่องกง
ต่อมา เมื่อบริษัทจีนเริ่มต้องการระดมทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่อยู่นอกแผ่นดินใหญ่ รัฐบาลจีนจึงอนุญาตให้บริษัทบางแห่งไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง ภายใต้ชื่อใหม่ว่า H-shares ซึ่ง H หมายถึง Hong Kong นั่นเอง หุ้นประเภทนี้จึงถือเป็นหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในจีน แต่ซื้อขายในฮ่องกงด้วยสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง (HKD)
บริษัทแรกที่ออก H-shares คือ Tsingtao Brewery ในปี 1993 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดประตูให้ทุนต่างชาติเข้าสู่ตลาดจีนผ่านฮ่องกง โดยไม่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านกฎหมายหรือค่าเงินที่ซับซ้อนของตลาดแผ่นดินใหญ่
หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ vs หุ้นฮ่องกง
แม้จะเป็นหุ้นของบริษัทจีนเหมือนกัน แต่ A-shares และ H-shares แตกต่างกันแทบทุกมิติ ตั้งแต่ตลาดที่ซื้อขาย สกุลเงินที่ใช้ ไปจนถึงผู้มีสิทธิลงทุนและระดับความโปร่งใสทางบัญชี
A-shares คือหุ้นของบริษัทจีนที่จัดตั้งและดำเนินธุรกิจในประเทศจีน จดทะเบียนในตลาดเซี่ยงไฮ้หรือตลาดเซินเจิ้น และซื้อขายด้วยเงินหยวน (CNY)
หุ้นกลุ่มนี้เคยถูกจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนภายในประเทศเท่านั้น แต่หลังปี 2014 จีนได้เปิดโครงการ Stock Connect ที่เชื่อมตลาดหุ้นฮ่องกงกับแผ่นดินใหญ่ ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถึงหุ้น A-shares ได้ง่ายขึ้นผ่านโบรกเกอร์ในฮ่องกงโดยตรง
ในทางกลับกัน H-shares เป็นหุ้นของบริษัทจีนที่ไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Stock Exchange: HKEX) ซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์ฮ่องกง และเปิดให้นักลงทุนทั่วโลกเข้ามาซื้อขายได้เสรีกว่า เพราะอยู่ภายใต้ระบบกฎหมายของฮ่องกงที่โปร่งใสและเข้มงวดมากกว่า
นอกจากนี้ บริษัทที่จดทะเบียนเป็นหุ้น H-shares จะต้องจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานสากล (IFRS) และเปิดเผยข้อมูลภาษาอังกฤษควบคู่กับภาษาจีน ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถวิเคราะห์ได้ง่ายกว่า A-shares ที่ส่วนใหญ่ใช้ภาษาจีนเป็นหลัก
ความแตกต่างด้านการลงทุน
แม้จะเป็นหุ้นของบริษัทเดียวกัน แต่ราคาของ A-shares และ H-shares อาจแตกต่างกันได้มาก เนื่องจากตลาดทั้งสองมีฐานนักลงทุนและพฤติกรรมที่ไม่เหมือนกัน
นักลงทุนในแผ่นดินใหญ่ส่วนใหญ่เป็นรายย่อยที่มีแนวโน้มตอบสนองต่อข่าวสารและนโยบายของรัฐมากกว่า ส่วนในฮ่องกง นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นสถาบันจากต่างประเทศที่ใช้ข้อมูลเชิงลึกและประเมินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานมากกว่า
สิ่งนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘A-H Premium/Discount’ กล่าวคือ หุ้น A มักมีราคาสูงกว่า H เพราะมีความต้องการสูงจากนักลงทุนในประเทศ แต่บางช่วงตลาดกลับกัน นักลงทุนต่างชาติอาจประเมินหุ้นจีนต่ำกว่าความจริง ทำให้หุ้น H มีราคาถูกกว่า
ยกตัวอย่างเช่น Bank of China ซึ่งมีทั้ง A-shares (601988.SS) ในตลาดเซี่ยงไฮ้ และ H-shares (3988.HK) ในตลาดฮ่องกง ราคาหุ้นสองแห่งนี้มักเคลื่อนไหวต่างกัน ทั้งที่สิทธิในการถือหุ้นและปันผลเหมือนกันทุกประการ

เปรียบเทียบจุดแข็งกับจุดอ่อน
ตลาดหุ้นแผ่นดินใหญ่ หรือ A-shares มักได้รับแรงหนุนจากนโยบายของภาครัฐอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดภาษี หรือการสนับสนุนอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์อย่างเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถผลักดันราคาหุ้นให้ฟื้นตัวได้ในระยะสั้น
ในอีกมุมหนึ่ง A-shares ยังสะท้อนอารมณ์และความเชื่อมั่นของนักลงทุนภายในประเทศ ที่มองว่าตลาดทุนคือส่วนหนึ่งของความภาคภูมิใจทางเศรษฐกิจของจีน พวกเขามักตอบสนองต่อนโยบายรัฐอย่างใกล้ชิด และเชื่อว่ารัฐบาลจะไม่ปล่อยให้ตลาดล่ม
ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นฮ่องกง หรือ H-shares คือประตูที่เปิดรับทุนจากทั่วโลก เป็นศูนย์กลางที่เชื่อมเศรษฐกิจจีนกับนักลงทุนต่างชาติผ่านระบบกฎหมายที่โปร่งใสและมาตรฐานสากล จึงมีสภาพคล่องสูงกว่าและได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศมากกว่า
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งนี้ก็มาพร้อมความท้าทาย เพราะตลาดฮ่องกงมักผันผวนตามปัจจัยภายนอก เช่น ทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หรือความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างจีนกับตะวันตก ซึ่งส่งผลต่อกระแสเงินทุนได้รวดเร็วและรุนแรง
A-shares กับ H-shares อันไหนดีกว่ากัน
คำตอบของคำถามนี้ ไม่มีสูตรตายตัว เพราะทั้งสองตลาดต่างมีเสน่ห์และความเสี่ยงในแบบของตัวเอง
ถ้าคุณอยากสัมผัสเศรษฐกิจจีนแท้จริง ตั้งแต่บริษัทพลังงานขนาดใหญ่ ไปจนถึงผู้ผลิตเทคโนโลยีและสินค้าอุปโภคบริโภคที่คนจีนใช้ทุกวัน A-shares คือภาพสะท้อนของเศรษฐกิจภายในประเทศ หุ้นเหล่านี้มักขยับตามนโยบายภาครัฐและความเชื่อมั่นของนักลงทุนจีนในประเทศ
ในทางกลับกัน หากคุณให้ความสำคัญกับความโปร่งใส มาตรฐานสากล และการเข้าถึงง่าย H-shares คือทางเลือกที่ตอบโจทย์กว่า เพราะตลาดฮ่องกงเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนต่างชาติ มีกฎเกณฑ์และระบบกำกับดูแลเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนระดับโลกส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกเพียงข้างใดข้างหนึ่ง แต่เลือก ‘ผสมทั้งสองตลาด’ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากทั้งเศรษฐกิจภายในจีนและเงินทุนต่างชาติ
ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนผ่าน ETF ที่รวมตลาดจีนหลายๆ ตลาดไว้ในที่เดียว เช่น MCHI FXI ASHR หรือ KWEB ทำให้นักลงทุนได้ลงทุนครบทั้ง A-shares และ H-shares รวมถึงหุ้นจีนที่จดทะเบียนในต่างประเทศ
ลงทุนหุ้นจีนง่ายๆ กับ Jitta Wealth
หากคุณอยากลงทุน ‘หุ้นจีน’ แต่ไม่อยากปวดหัวกับการเลือกว่า จะลงทุน A-shares หรือ H-shares ดี Jitta Wealth มีทางเลือกที่ตอบโจทย์ทุกสไตล์การลงทุน ไม่ว่าจะเป็น
Jitta Ranking หุ้นจีนที่คุณไม่ต้องรู้ภาษาจีน ไม่ต้องเสียเวลาอ่านงบการเงินและวิเคราะห์หุ้นด้วยตัวเอง เพราะ Jitta Wealth จัดการให้หมด ทั้งเรื่องเอกสารลงทุนต่างประเทศ แลกเปลี่ยนเงินตรา หรือซื้อขายหุ้นตามหลักการ โดยมี AI คอยเฟ้นหา ‘หุ้นดีราคาถูก’ ระดับท็อปจากทั้งตลาด เลือกมาจัดพอร์ต และคอยดูแลปรับพอร์ตให้ทุกๆ 3 เดือน
ให้คุณได้ลงทุนในหุ้น A-shares ระดับท็อปจากทั้งตลาดเซี่ยงไฮ้ (SSE) และเซินเจิ้น (SZSE) ของจีน ได้อย่างง่ายที่สุด
Jitta Ranking หุ้นฮ่องกง ที่มี AI คอยคัดเลือกหุ้นจีนชื่อดังบนตลาดหุ้นที่นักลงทุนเชื่อมั่นจนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับท็อป 4 ของโลก พร้อมระบบดูแลจัดการตามแบบฉบับของ Jitta Ranking
หรือสะดวกยิ่งขึ้นกับ Jitta Ranking Alpha ที่ไม่ต้องปวดหัวว่าจะลงทุน A-shares หรือ H-shares ดี เพราะ Alpha AI เลือกประเทศน่าลงทุนที่สุดให้ ไม่ใช้แค่จาก จีน หรือ ฮ่องกง แต่คัดเลือกมาให้จาก 4 ตลาดหุ้นหลักอย่าง สหรัฐฯ จีน ฮ่องกง และญี่ปุ่น จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการเลือกหุ้นและปรับพอร์ตหุ้นตามแบบฉบับของ Jitta Ranking
ซึ่งปีนี้ Alpha AI เลือกหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนปีหน้าไม่ต้องกังวลว่าสถานการณ์เปลี่ยนแล้วจะลงทุนประเทศไหนดี เพราะ Jitta Ranking Alpha จะรีวิวปรับประเทศให้ทุกปี
Thematic DIY จัดพอร์ตหุ้นจีนได้ง่ายๆ ผ่าน ETF ที่มีให้คุณเลือกทั้งธีมตลาดหุ้นจีน และธีมตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งสามารถเลือกมาจัดพอร์ตร่วมกับธีมอื่นๆ รวมกว่า 27 ธีมการลงทุน
หากสนใจลงทุนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย